“อินเวสทรี” โตก้าวกระโดด 300 เท่า ตั้งเป้าออกหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง เพื่อ SME กว่า 1,000 ล้านบาท
อินเวสทรี เปิดแผนธุรกิจปี 2565 ชูกลยุทธ์ 3 win พิชิตใจ SME นักลงทุน และพันธมิตร พัฒนาขยายธุรกิจมุ่งร่วมแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพสำหรับ SME เพิ่มโอกาสสร้างรายได้แก่นักลงทุนรายย่อย ด้วยรูปแบบการลงทุนที่ผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ให้ผลตอบแทนที่จูงใจ 6-26% ต่อปี รวมทั้งจับมือพันธมิตรสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
นางสาวณัทสุดา พุกกะณะสุต ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้บริษัทจะต่อยอดและขยายธุรกิจ ไปสู่ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก นั่นก็คือ SME นักลงทุน และพันธมิตร มากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าจะขยายมูลค่าหุ้นกู้ที่เราออกประมาณ 5 เท่าหรือกว่า 1,000 ล้านบาท ขยายจำนวนนักลงทุน 8 เท่าหรือให้มากกว่า 320 ราย ซึ่งจะมีทั้งนักลงทุนสถาบันที่อยู่ระหว่างการลงทะเบียน และกองทุนต่างประเทศที่กำลังพิจารณาลงทุน ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสินเชื่อ P2P ในต่างประเทศอยู่แล้ว รวมไปถึงแสวงหาพันธมิตรใหม่ ๆ ที่ให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชน และในกลุ่มที่เห็นศักยภาพของการร่วมมือกับ Fintech เพื่อนำเครื่องมือที่เรามีไปใช้ในการทำงานของธุรกิจเขา”
นายวรกร สิริจินดา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวเสริมว่า “นอกจากการขยายธุรกิจไปใน 3 กลุ่มดังกล่าวแล้ว เรายังเสริมแกร่งระบบหลังบ้านให้พร้อมรับการเติบโตนั่นคือการเสริมแกร่ง 3 กลยุทธ์ความไว้วางใจ ได้แก่ระบบ Cyber Security ที่พร้อมดูแลและติดตามการลงทุนของนักลงทุนได้ ดูแลทรัพย์สินของนักลงทุน ด้วยผู้รับฝากสินทรัพย์ (Custodian) ระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพที่ปลอดภัยจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ (cyber attack) เสริมประสิทธิภาพของระบบ Credit Scoringในการวิเคราะห์คุณสมบัติความน่าเชื่อถือของ SME ที่มาออกหุ้นกู้ และ เสริมทีมบุคลากร ที่เข้าใจผลิตภัณฑ์การเงิน เข้าใจเกณฑ์กำกับดูแล เข้าใจความเสี่ยงและความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ที่ขายกับนักลงทุน เราเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง เป็นที่เชื่อมั่นวางใจได้ เพราะเราเองก็เทียบเท่ากับสถาบันการเงิน ความมั่นคงและการบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ในปี 2564 บริษัทฯเติบโตก้าวกระโดดมากกว่า 300 เท่า โดยมีมูลค่าหุ้นกู้รวมทั้งสิ้นกว่า 221 ล้านบาท คิดเป็น 16% ของมูลค่าตลาดรวม1,391 ล้านบาท และ 29% ของจำนวนบริษัทที่ออกหุ้นกู้ 140 บริษัท มีนักลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงของ SME และต้องการช่วย SME เพิ่มขึ้นจาก 38 รายเป็น 269 ราย โดยอัตราเฉลี่ยของผลตอบแทนที่ได้รับคือ 11%
“ถึงแม้มูลค่าหุ้นกู้ที่เราออกจะราคาไม่สูงนัก แต่ถ้าดูเปอร์เซ็นต์จำนวนบริษัทที่มาออกหุ้นกู้กับเราจะเห็นชัดเจนว่าเราช่วย SME ที่ต้องการต่อลมหายใจธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะรายย่อยมาก ๆ ที่ต้องการทุนไปหมุนเวียนในจังหวะที่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งมีทั้งการขอออกหุ้นกู้ซ้ำจาก SME รายเดิม 75% และรายใหม่อีก 25% เราทุกคนที่อินเวสทรี เชื่อมั่นว่าทุก ๆ คนมีโอกาสเติบโต หรือ Everyone Can Growดังนั้น ไม่ควรจะมีใครต้องล้มไปจากความตั้งใจในการทำธุรกิจเพียงเพราะขาดทุนหมุนเวียน ที่ผ่านมาเราช่วยเหลือ SME ไปแล้วกว่า 40 บริษัท ซึ่งมีพนักงานรวม ๆ แล้วมากกว่า 400 ชีวิตเลยทีเดียว” นางสาวณัทสุดา กล่าว
“นอกจากนี้เรายังได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลายทั้งกลุ่มที่มี supply chain ขนาดใหญ่ เช่น เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เซ็นทรัล รีเทล (CRC) ด้วยเราเห็นโอกาสของการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Value Chain ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่จับมือพันธมิตรฝ่าวิกฤตโควิดด้วยแผนช่วยเหลือคู่ค้าและผู้ประกอบการ หาแหล่งเงินทุนเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ที่มากกว่า 50% เป็น SME มีผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นคู่ค้าของกลุ่มเซ็นทรัลมาออกหุ้นกู้กับเราประมาณ 20 ล้านบาท”
“อีกกลุ่มที่เป็นพันธมิตรกับเราคือกลุ่มทำธุรกิจบริการทางด้านการเงิน และ ระบบการจัดซื้อบนดิจิทัล แพลทฟอร์ม กลุ่มนี้เราเข้าไปเป็นบริการเสริมทางด้าน CRM และด้าน Supply Chain Finance เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจของเขา ขณะเดียวกัน เราก็ได้ลูกค้าจากพันธมิตรด้วย ทั้ง 3 บริษัทนี้เป็นพันธมิตรกับเรามาตั้งแต่เริ่มต้นได้แก่ 2C2P เป็น Payment gateway พันธวณิช ระบบe-procurement และ FLOWACCOUNT ซึ่งเป็น online accounting software”
นายวรกร เสริมว่า “จะเห็นว่าการที่เราผนึกกำลังกับพันธมิตรต่าง ๆ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ด้วยนั้นก็เพื่อสร้าง ecosystem ที่สามารถช่วย SME ได้มากกว่าแค่เป็นแหล่งเงินทุน เช่นเราจัดสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้ “SME รู้รอดเล่า” ร่วมกับ 2C2P เป็นต้น ปัจจุบัน กลุ่มเรามองไปเกินกว่าการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SME เรามองไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น หุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นหลากหลายมากขึ้น”
“สำหรับภาพรวมตลาดการปล่อยสินเชื่อเพื่อ SME นั้น ปัจจุบันไทยมีบริษัทจดทะเบียนผู้ประกอบการประมาณ 3 ล้านบริษัท 99% หรือประมาณ 2.9 ล้านเป็น SME และมากกว่า 2 ล้านบริษัทนั้นเป็นบริษัทขนาดเล็ก ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับ SME ก็ยังคงมีอยู่ ถึงแม้ในตลาดจะมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อสูง แต่บริษัทขนาดเล็กยังคงเจอปัญหาเข้าไม่ถึงเงินกู้เหมือนเดิม แน่นอนว่าในภาวะวิกฤตินี้เงื่อนไขบางอย่างของธนาคารกลายเป็นข้อกำหนดที่มาจำกัดสิทธิ์ เช่น ประวัติชำระหนี้ที่ไม่ดีนัก ไม่ยอมชำระหนี้ มีหนี้สินติดค้าง หรือชำระเงินช้าเมื่อถึงกําหนดชำระ หุ้นกู้ crowdfunding จึงมาเปิดโอกาสให้กับ SME และแน่นอนว่าเราก็เห็นโอกาสเติบโตจากตลาดนี้เช่นกัน รวมไปถึงโอกาสจากนักลงทุนไทยที่ก็เปิดกว้างในการเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นกู้ คราวด์ฟันดิง ก็ยังผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่า
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจระดมทุนคราวด์ฟันดิง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการคำปรึกษาจากเราสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่